ศาลจีนสั่งให้สามี จ่ายเงินชดเชยค่าทำงานบ้าน ให้กับภรรยา หลังจากทั้งสองหย่าขาดกัน ภรรยาอ้างสามีไม่ยอมดูแลบุตรและผลักภาระตลอด เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ สำนักข่าว SCMP รายงานว่า ศาลในประเทศจีนได้ตัดสินให้นาย เฉิน ผู้เป็นสามีจ่ายเงินให้กับภรรยา นาง หวาง เป็นเงินกว่า 2 แสนบาท และต้องจ่ายให้กับอดีตภรรยาทุกเดือนเป็นเงิน 9 พันบาท เพื่อชดใช้ให้กับอดีตภรรยาที่ทำงานบ้านตลอดช่วงระยะเวลา 5 ปีที่ทั้งสองแต่งงานกัน
ซึ่งการตัดสินในครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกในประเทศจีน
หลังจากที่ทางการจีนเพิ่งอนุมัติกฎหมายการสมรสฉบับใหม่เมื่อวันที่ 1 มกราคมที่ผ่านมา ว่าด้วยการทำงานบ้านโดยไม่รับค่าแรงที่บ้านของสตรี โดยกฎหมายฉบับนี้ถูกร่างขึ้น เพื่อช่วยเหลือภรรยาที่สามีได้ผลักภาระงานบ้านทั้งหมดมาให้พวกเธอ โดย นาง ฉอง เหวิน ทนายที่เชี่ยวชาญด้านการหย่าร้างได้พูดถึงกฎหมายฉบับนี้ว่าเป็นประโยชน์กับสังคม เพราะเป็นการทำให้การใช้แรงงานที่บ้านมีคุณค่ามากขึ้น เพราะตามปกติแล้วฝ่ายที่ต้องทำงานบ้าน จะเป็นคนที่ถูกลดทอนคุณค่าลงไป พร้อมชี้ว่าทักษะต่างๆในชีวิตจะถดถอยตามลงไปด้วย
อย่างไรก็ตามนาย ฉอง ชี้ว่าเงินชดเชยในคดีนี้น้อยเกินไป เช่นเดียวกันกับชาวเน็ตบางส่วนที่แสดงความเห็นไปทิศทางเดียวกันที่บอกว่าจำนวนที่ภรรยาได้น้อยเกินไป พร้อมชี้ว่า หากผู้เสียหายทำงานเพียงครึ่งปีก็จะได้เงินเทียบเท่ากับเงินชดเชยแล้ว
อดีตสองสามีภรรยาคู่นี้พบกันเมื่อปี 2553 ก่อนจะแต่งงานกันในห้าปีถัดมา อย่างไรก็ตามความสัมพันธ์ของทั้งสองไม่ราบรื่น จนนำไปสู่การแยกกันอยู่และหย่าร้างในเวลาต่อมา ทั้งนี้ฝั่งภรรยาได้ฟ้องสามีค่าเสียหายและเรียกร้องเงินชดเชย เนื่องจากสามีไม่ยอมทำงานบ้านและไม่ดูแลบุตร พร้อมกล่าวหาว่าสามีนอกใจอีกด้วย
คณะกรรมการอาหารและยา หรือ FDA ของสหรัฐฯ ได้ประกาศว่าวัคซีนต้านโควิด-19 จอห์นสันแอนด์จอห์นสัน เป็นวัคซีนที่มีประสิทธิภาพ เล็งอนุมัติใช้เร็วๆนี้ จอห์นสันแอนด์จอห์นสัน – เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ สำนักข่าว BBC รายงานว่า คณะกรรมการอาหารและยา หรือ FDA ได้ออกมาระบุว่า วัคซีนต้านโควิด ของบริษัท จอห์นสันแอนด์จอห์นสัน มีประสิทธิภาพในการต่อต้านโรคโควิด-19 และสามารถลดอาการป่วยของผู้ติดเชื้อได้
โดยจากตรวจสอบผลการทดลองในประเทศสหรัฐอเมริกา, แอฟริกาใต้ และ บราซิล พบว่ามีประสิทธิภาพค่อนข้างสูง แต่ตัวเลขดังกล่าวจะลดลงในการทดลองที่บราซิลและแอฟริกาใต้ที่กำลังเผชิญกับโควิดกลายพันธุ์
ซึ่งจากข้อมูลยังชี้ให้เห็นอีกด้วยว่าวัคซีนมีประสิทธิภาพร้อยละ 85 ในการป้องกันอาการป่วยรุนแรง อย่างไรก็ตามมีประสิทธิภาพในการป้องกันโควิดโดยรวมร้อยละ 66 นอกจากนี้ยังไม่พบผู้เสียชีวิตในกลุ่มอาสาสมัครอีกด้วย และไม่มีผู้ป่วยต้องเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลในระยะเวลา 28 วันหลังได้รับวัคซีน
วัคซีนจอห์นสันแอนด์จอห์นสันนั้นถือเป็นวัคซีนที่ประหยัดกว่าวัคซีนทั่วไป เนื่องจากวัคซีนชนิดนี้ใช้เพียงโดสเดียว ต่างจากวัคซีนชนิดอื่นๆ นอกจากนี้วัคซีนของจอห์นสันแอนด์จอห์นสัน ไม่จำเป็นต้องเก็บในช่องแช่เย็น และสามารถเก็บในอุณหภูมิตู้เย็นได้ คาดว่าทางการสหรัฐฯน่าจะอนุมัติใช้วัคซีนชนิดนี้ในเร็ววัน
ขณะนี้สหราชอาณาจักรได้สั่งซื้อวัคซีนชนิดดังกล่าวแล้ว 30 ล้านโดส, แคนาดา 38 ล้านโดส ขณะที่กลุ่มประเทศสหภาพยุโรป หรือ EU สั่งซื้อวัคซีนชนิดนี้ 200 ล้านโดส ส่วนผู้ที่เข้าร่วมโครงการ โคแวกซ์ ขององค์การอนามัยโลกได้จัดซื้อวัคซีนชนิดนี้เพื่อเตรียมแจกในกลุ่มประเทศต่างๆ 500 ล้านโดส
แคนาดา ลงมติตัดสินชี้ จีน ฆ่าล้างเผ่าพันธ์ุชาวมุสลิมอุยกูร์
แคนาดา ลงมติตัดสินชี้ให้การปฏิบัติของ จีน ต่อชาวมุสลิมในเขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ เป็น ฆ่าล้างเผ่าพันธ์ุชาวมุสลิมอุยกูร์ เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ สำนักข่าว BBC รายงานว่า สภาแคนาดาได้ลงมติ 266 ต่อ 0 เสียง จากจำนวนสมาชิกในสภา 338 ที่นั่ง ให้ประกาศว่าการกระทำของรัฐบาลจีนต่อชาวมุสลิสในเขตปกครองซินเจียงอุยกูร์เป็นการฆ่าล้างเผ่าพันธ์ุ ซึ่งถือเป็นชาติที่สองคนโลก ต่อจากสหรัฐฯ ที่รับรองว่าจีนฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวอุยกูร์
อย่างไรก็ตามนาย จัสติน ทรูโด นายกรัฐมนตรีแคนาดา และ สมาชิกสภาของเขาส่วนใหญ่งดออกเสียงในมติดังกล่าว ซึ่งผู้นำแคนาดาระบุว่า การเรียกสิ่งที่รัฐบาลจีนทำว่าเป็นการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์เป็นคำพูดที่รุนแรง และพวกเขาต้องการจะต้องสืบสวนเพิ่มเติม ก่อนตัดสินพฤติกรรมจีน
อย่างไรก็ตาม นายมาร์ค การ์นู รัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศ เป็นเพียงคนเดียวที่ไปลงมติสนับสนุน ซึ่งเขาให้สัมภาษณ์ว่า การประกาศท่าทีที่ชัดเจนในครั้งนี้เป็นการส่งสัญญาณไปยังทุกประเทศทั่วโลกว่า แคนาดาเป็นประเทศที่ยืนหยัดเพื่อสิทธิมนุษยชน และเคารพในศักดิ์ศรีแห่งสิทธิมนุษยชน แม้ว่าต้องแลกมาด้วยความสูญเสียโอกาสทางด้านเศรษฐกิจก็ตาม
ขณะเดียวกันทางการจีนได้ออกมาประณามและปฏิเสธมติของแคนาดา พร้อมชี้ว่ามติดังกล่าวเป็นการแทรกแซงกิจการในประเทศ พร้อมยืนยันว่าไม่เคยเกิดเหตุการณ์ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ขึ้นในประเทศจีน
ก่อนหน้านี้เคยมีเอกสารออกมาเปิดโปงว่าทางการจีนได้ทำการกักตัวชาวมุสลิมที่ค่ายกักกันในพื้นที่ดังกล่าวมากกว่า 1 ล้านคน นอกจากนี้ในเอกสารดังกล่าวยังเคยได้ระบุว่า มีการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างหนักในค่ายกักกันดังกล่าว
แนะนำ : ดูดวงไพ่ยิปซี | รีวิวที่พัก | รีวิวคาเฟ่ | วิธีลดน้ำหนัก | รีวิวอนิเมะ ญี่ปุ่น